การตรวจ HPV ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก

ตรวจ HPV และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

ข้อมูลจากองค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติ (International Agency for Research on Cancer; IARC) พบว่าในปี 2565 มีผู้ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกจำนวน 8,662 ราย และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 4,576 ราย โดยโรคเกิดจากเชื้อฮิวแมนแปปิลโลมาไวรัส (Human papilloma virus) หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า เชื้อเอชพีวี (HPV) ซึ่งติดต่อไปยังบุคคลอื่น ๆ ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและตรวจ HPV จึงมีความสำคัญอย่างมากเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก

ข้อมูลอาการทั่วไปเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก

ในระยะแรกที่เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมักจะไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ แต่ในภายหลังเมื่อเริ่มเป็นหนักมากขึ้นร่างกายจะเริ่มแสดงอาการ เช่น มีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือตกขาวผิดปกติ และอาจมีอาการปวดร่วมด้วยได้

มะเร็งปากมดลูก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ

ระยะเริ่มต้น สามารถตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ โดยที่คนไข้ยังไม่มีอาการ

ระยะท้าย หรือคนไข้เริ่มมีอาการ เช่น มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีอาการตกขาวเรื้อรัง หรือมีเลือดออกปนตกขาว อาการเหล่านี้เป็นอาการที่บ่งบอกว่าต้องรีบมาตรวจมะเร็งปากมดลูก เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้จนมีอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระเป็นเลือด จะเป็นลักษณะอาการที่เชื้อแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ยากต่อการรักษาซึ่งอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ในที่สุด

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

การตรวจมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้ 3 วิธี ได้แก่

1. ตรวจมะเร็งปากมดลูกแบบแปปเสมียร์ (Conventional PAP Smear)

 เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูกแบบดั้งเดิม มีวิธีการตรวจโดยการใช้ไม้พายเก็บเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก และนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ วิธีนี้อาจได้ความแม่นยำไม่มากนัก

2. ตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี Pathtezt 

เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูกที่พัฒนามาจากวิธี Pap Smear สามารถลดการปนเปื้อน และช่วยในการตรวจเซลล์ได้ชัดเจนขึ้น โดยทำการเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกด้วยอุปกรณ์เฉพาะ จากนั้นใส่ลงในขวดน้ำยากำจัดมูกเลือด ก่อนนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ

3. ตรวจหาเชื้อเอชพีวี (HPV DNA Test) 

เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ระดับ DNA ซึ่งเป็นเทคนิคการตรวจระดับชีวโมเลกุลที่สามารถค้นหาเชื้อเอชพีวีได้ในระยะก่อนที่จะเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูก เป็นการป้องกันและรักษาก่อนที่เชื้อจะก่อให้เกิดอาการของโรค ซึ่งสามารถระบุลงลึกไปได้ถึงสายพันธุ์ของเชื้อ HPV ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ 16 และสายพันธุ์ 18 ที่มีความเสี่ยงสูงสุดซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 70% และสามารถเว้นการตรวจซ้ำได้ถึง 5 ปี ให้ความแม่นยำในการตรวจเจอโรคสูงเกือบ 100%

ฉะนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV จะทำให้ผลตรวจมีความแม่นยำและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มากขึ้น

ตรวจ HPV และ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่อไหร่

โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุ 30 ปี ทุก ๆ 3 ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อที่จะตรวจพบมะเร็งปากมดลูกได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีการรักษาที่ได้ผลและหายขาด โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก เช่น มีคู่นอนหลายคน สูบบุหรี่ มีบุตรจำนวนมาก ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และการได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ

การเตรียมตัวสำหรับตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและตรวจ HPV

1. ไม่ควรตรวจช่วงมีประจำเดือน ถ้ามีประจำเดือน ควรเว้นระยะหลังหมดประจำเดือน 5 วัน ยกเว้นถ้ามีอาการเลือดออกผิดปกติซึ่งจะทำให้แพทย์วินิจฉัยได้ชัดเจนถึงสาเหตุ

2. สำหรับคนที่มีปัญหาตกขาวผิดปกติ ไม่แนะนำให้สอดยาเพื่อรักษาก่อนมาตรวจภายใน

3. ก่อนตรวจ 48 ชั่วโมง งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ งดใช้สารหล่อลื่น ผลิตภัณฑ์สเปรย์ แป้ง ครีม หรือยาสอด และงดการสวนอวัยวะเพศด้วยน้ำ หรือของเหลวอื่นทุกชนิด

4. ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ถอดง่าย

5. การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ

6. ควรปัสสาวะออกให้หมดก่อนรับการตรวจภายใน เพื่อให้แพทย์ตรวจขนาดของมดลูกและปีกมดลูกได้อย่างชัดเจน

เมื่อรู้ออย่างงี้แล้วควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและตรวจ HPV เป็นประจำ รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกด้วย มะเร็งปากมดลูกถือเป็นภัยร้ายสำหรับผู้หญิงจึงควรตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆเพราะหากละเลยและปล่อยไว้จะยิ่งอันตราย